ในช่วงนี้อากาศร้อน แถมยังมีพายุฤดูร้อนอีก ทำให้อากาศร้อนชื้น ส่งผลให้พืชผักที่ปลูกเกิดโรคระบาดได้ ซึ่งในช่วงนี้กรมวิชาการเกษตรได้มีข้อเตือนภัยสำหรับเกษตรกรที่ปลูกมะเขือเทศทางทีมเกษตรสัญจรไม่รอช้าจึงรีบนำข้อมูลมาแจ้งต่อชาวพี่น้องเกษตรกรชาวเกษตรสัญจรทันที
โดยโรคที่ระบาดเป็นโรคที่มีสาเหตุจากไวรัส ซึ่งระบาดในมะเขือเทศทุกระยะการเจริญเติบโต แบ่งออกเป็น 4 โรคด้วยกันได้แก่ โรคใบหงิกเหลือง โรคใบด่างเรียวเล็ก โรคใบด่างและโรคเหี่ยวลาย เป็นต้น โดยแต่ละโรคสามารถสังเกตอาการได้ดังนี้
1. โรคใบหงิกเหลือง ใบยอดและใบอ่อน หดย่นหงิกมีสีเหลือง ขอบใบม้วนงอ ยอดเป็นพุ่ม ใบที่แตกใหม่มี ขนาดเล็ก ต้นแคระแกร็น ทำให้มะเขือเทศไม่ ติดผลหรือติดผลน้อยมาก
2. โรคใบด่างเรียวเล็ก ใบแสดงอาการด่างสีเขียวเข้มสลับสีเขียวอ่อนม้วนงอต่อมาใบเรียวเล็กกว่าปกติ ถ้าอาการรุนแรงมาก ใบจะเรียวเล็กเหลือแต่เส้นกลางใบ มะเขือเทศจะชะงักการเจริญเติบโต ไม่ติดผล หรือผลมีขนาดเล็ก ถ้าเกิดโรคตั้งแต่ระยะกล้า จะทำให้ต้นแคระแกร็น ไม่ติดผล
3. โรคใบด่าง ใบแสดงอาการด่างสีเขียวเข้มสลับสีเขียวอ่อนหรือสีเหลือง บางครั้งใบอ่อนหดย่นเป็นคลื่นและมีขนาดเล็กกว่าปกติ ใบที่อยู่ส่วนยอดหรือปลายกิ่งอาจบิดเป็นเกลียว มะเขือเทศชะงักการเจริญเติบโต ทำให้ติดผลน้อย ผลอาจเกิดอาการด่าง ถ้าเกิดโรคในระยะกล้าต้นจะแคระแกร็น ใบมีขนาดเล็กและลดรูป
4. โรคเหี่ยวลาย ใบปรากฏแผลเนื้อเยื่อตายสีน้ำตาลเข้มหรือดำ กระจายทั่วทั้งใบ หรือเกิดรอยด่างสีเหลือง ใบยอดด่าง และยอดสั้น ใบอ่อนจะแห้งตายจากปลายใบเข้าหาโคนใบ ใบแก่มีสีเหลืองและขนาดเล็กกว่าปกติ ลำต้นและก้านใบมีรอยขีดสีน้ำตาลเข้มหรือดำตามแนวยาวของลำต้นและก้านใบ มะเขือเทศชะงักการเจริญเติบโต ผลเสียรูปทรง ที่ผิวของผลจะพบอาการเนื้อเยื่อตายเป็นวง ถ้าอาการรุนแรง กิ่งและลำต้นจะเปลี่ยนเป็นสีดำเหี่ยวเฉา และตายในที่สุด
ทั้ง 4 โรคนี้สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับผลผลิตของเกตรกร จึงแนะนำให้เกษตรกรใช้มะเขือเทศพันธุ์ต้านทานโรคคัดเลือกกล้ามะเขือเทศที่แข็งแรง และไม่เป็นโรคไวรัสมาปลูก ควรหมั่นตรวจ กำจัดวัชพืชในแปลง และรอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดแหล่งสะสมเชื้อไวรัส และแมลงพาหะ ถ้าพบต้นที่เป็นโรคให้ถอนแล้วนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที ควรทำความสะอาดอุปกรณ์การเกษตรเมื่อใช้กับต้นที่เป็นโรคก่อนนำกลับมาใช้ใหม่ หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว ให้เก็บเศษซากพืชส่วนที่หลงเหลือในแปลงไปทำลายนอกแปลงปลูก หากพบโรคในแปลงที่จะปลูกฤดูถัดไป ไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อใกล้แปลงปลูกมะเขือเทศ เช่น สาบแร้งสาบกา กะเม็ง หญ้ายาง กระทกรก ลำโพง โทงเทง ขี้กาขาว ขึ้นฉ่าย ยาสูบ งา กะเพราขาว ตำลึง หงอนไก่ บานไม่รู้โรย ทานตะวัน พืชตระกูลแตง และพืชตระกูลถั่ว
ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัสสาเหตุโรคพืช ยังไม่มีสารป้องกันกำจัดโดยตรง แต่ป้องกันการระบาดของโรคได้โดยพ่นสารกำจัดแมลงพาหะนำโรค ดังนี้
– แมลงหวี่ขาว ได้แก่ สารอะซีทามิพริด 20% เอสพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
– เพลี้ยอ่อน ได้แก่ สารฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไดโนทีฟูแรน 10% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
– เพลี้ยไฟ ได้แก่ สารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% อีซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
ทั้งนี้โรคที่เกิดในมะเขือเทศไม่ได้มาจากเชื้อไวรัสเพียงอย่างเดียว แต่อาจมาจาก เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และแมลงเป็นพาหะ ลองใช้วิธีกำกัดแมลงสาเหตุโรคดังที่แนะนำ ก็น่าจะช่วยบรรเทาปัญหาของโรคที่เกิดในมะเขือเทศได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
เรียบเรียงโดย: ทีมงานเกษตรสัญจร
ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมวิชาการเกษตร
(http://at.doa.go.th/ew/pdf/235_apr63_4.pdf)