

ถ้าพูถึงการทำเกษตรยุคใหม่ในบ้านเรา สิ่งสำคัญที่จะปฎิเสษไม่ได้เลย
ก็คื่อเครื่องมือ และเทคโนโลยี่ ต่างๆที่นำมาใช้กัน และกำลังเป็นที่จับตามอง
นั้นก็คือ
เครื่องบินโดรนพ่นยา
หรือพ่นสารเคมี ให้กับพืช สวนไร่นา ซึ่งในต่างประเทศนั้น มีมานานแล้ว
อย่างในประเทศอเมริกา
ใช้เครื่องบินจริง นำมาบินพ่นยาฆ่าแมลงให้กับไร่ข้าวสาลี ซึ่งมีพื่นที่เป็นร้อยๆไร่ แต่ก็ติดปัญหาเรื่องพื้นที่ในการเทคออฟเครื่องบิน ต้องมีถนนที่กว้างและยาวพอจะนำเครื่องขึ้นบินได้
ต่อมาได้มีวิฒนาการมาเป็นการใช้เครื่องบินขึ้น-ลงแนวดิ่งหรือที่บ้านเราเรียกกันว่าโดรน ( drone) และอีกชนิดหนึ่งจะใช้เฮลิคอปเตอร์บังคับวิทยุ มาใช้ในการพ่นยา ซึ่งทั้งสองแบบยังไม่ได้เป็นที่นิยม สำหรับเกษตรในบ้านเรา เพราะถือว่าเทคโนโลยีแบบนี้ยังใหม่อยู่มากครับ วันนี้เกษตรสัญจรจะพามารู้จักข้อดี ข้อเสียของโดรนกันจะเป็นยังไงไปดูกัน


ข้อดี
ของการใช้อากาศยานdroneพ่นยา คือเป็นการประหยัดเวลาที่ต้องใช้คนแบกถังน้ำยา แล้วเดินฉีดหรือพ่นยาไปตามท้องไร่นาหรือสวน กว่าจะได้แต่ละไร่ จะใช้เวลานาน ต้นไม้สูงๆ ก็ไม่สามารถที่จะขึ้นไปพ่นอย่างทั่วถึง บางทีก็เดินเยียบข้าวต้นเล็กๆ ให้เสียหายไปอีก สามารถตั้งระบบบินแบบออโต โดยที่เรากดปุ่มสั่งงานเพียงครั้งเดียว ผู้เขียนคิดว่า ถ้ามีการวางแผนในระยะยาว การใช้โดรนพ่นยา จะทำให้คุ้มทุน กว่าการจ้างคนไปพ่นยา ตัดปัญหาเรื่องหาคนงานด้วยครับ


ข้อเสีย
ของการใช้เครื่องบินdroneพ่นสารเคมี คือราคาของโดรนที่ยังมีราคาที่แพงอยู่มาก เมื่อเทียบกับราคาค่าจ้างคนงานพ่นยา ที่ราคาอยู๋ที่ 60-100 บาทต่อไร่ ต้องเรียนรู้เรื่องระบบต่างๆที่ซับซ้อน แบตเตอรี่ที่มีราคาแพง ก้อนนึง( 20000 มิลลิแอม )ราคาหมื่นกว่าบาทเข้าไปแล้ว แล้วเครื่องบินมีปัญหา เกิดอุบัติเหตู เช่นแบตเตอรี่เสื่อม บินชนต้นไม้ อุปกรณ์ขัดข้อง ทำให้เครื่องตก ก็จะเกิดความเสียหายแน่นอน ส่วนการบินพ่นยา เนื่องจากเครื่องบินบรรทุกน้ำยาได้ไม่มาก จึงต้องลงมาเติมน้ำยากันบ่อย และเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ใช้ไปในแต่ละเที่ยวอีกด้วย


ถึงกระนั้นก็ยังมีการวิจัย ของสถาบันต่างๆ ในการทดลองประดิษฐ์เครื่องบินโดรนพ่นยา ขึ้นมาใช้เอง แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ ในด้านการใช้งานมากนัก ในอนาคตอันไม่ไกล เทคโนโลยีและตัวโดรนที่ถูกลงเรื่อยๆ จะสามารถนำมาใช้ในงานเกษตรบ้านเรา แทนที่การใช้แรงงานคนงมากขึ้นเรื่อยๆแน่นอน